เทคโนโลยีเพื่อสมาร์ทโฟนแห่งอนาคต
เทคโนโลยีเพื่อสมาร์ทโฟนแห่งอนาคต
2. การสร้างภาพ (reconstruction of image) เป็นการสร้างภาพ 3 มิติ ขึ้นจากแผ่น
เทคโนโลยีใหม่เพื่อสมาร์ทโฟนแห่งอนาคต
1.เทคโนโลยี Augmented Reality (AR)
: AR ย่อมาจาก Augmented Reality ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำเอาภาพเสมือน 3 มิติจำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้องและมีการประมวลผลโดยการทำให้วัตถุ 3 มิติ (ภาพเสมือน) ทับซ้อนเข้ากันกับภาพจริงเป็นภาพๆเดียว โดยเราสามารถมองผ่านกล้องได้โดยตรงเลย
ซึ่งเมื่อเราได้ยินคำว่า AR ก็มักจะได้ยินร่วมกับคำว่า VR ซึ่งย่อมาจาก Virtual Realityเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ VR คือการจำลองโลกเสมือนขึ้นมาและเข้าถึงได้จากอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น แว่น Oculus Rift, Play Station VR เป็นต้น
-สามารถแบ่งแยกได้ 2 ชนิด คือ
1.Marker-Based : ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบเครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นใบปลิว โบรชัวร์ต่างๆ ผู้ใช้ทำการ scan ด้วยกล้องจากตัว smartphone เพื่อแสดงภาพ 3 มิติ
2.Location-Based : ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ smartphone scan จากภาพ เพียงแค่ใช้GPS ของเครื่องนั้นๆ ก็สามารถแสดงภาพ 3 มิติได้
-การทำงานหลักๆของ AR (ขึ้นอยู่กับ Engine และ Toolkit ของแต่ละผู้ผลิต) เช่น
1.Tracking : ติดตาม วัดแรงเฉื่อย วัดตำแหน่ง องศาของโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าอยู่ในทิศทางใด
2.Rendering : การแสดงผลพวกภาพ Model 3 มิติ ร่วมกับภาพจริงๆ ให้เป็นเหมือนภาพเดียวกัน
3.Scene : มีการเข้าใจรายละเอียดของฉากในภาพ เช่น ถ้าห้องมืด ภาพก็จะสว่างๆ
2.หน้าจอแสดงผลที่สามารถบิดงอได้
: หน้าจอที่โค้งงอได้ (Bendable) ทำให้มันไม่มีวันแตก (Unbreakable)
สิ่งแรกที่ต้องอ้างถึงคือ ด้วยโครงสร้างของเจ้าหน้าจอแบบโค้งได้นี้ เป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานอิงบนหน้าจอแบบ OLED ซึ่งไม่ต้องการแผง backlight ด้านหลังแบบจอ LCDเดิม และเจ้าจอโค้งได้นี้สามารถแสดงผลบนวัสดุที่ทำมาจาก “พลาสติก” ได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบหน้าจอแบบเดิมๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้หน้าจอแบบแบบใหม่นี้มาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ 2 คำ คือ โค้งงอได้ (Bendable) และ ไม่มีวันแตก (Unbreakable)ในส่วนของการโค้งงอได้นั้น เนื่องจากหน้าจอแบบใหม่นี้ มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มคล้ายกับถุงแบบ zip lock จึงทำให้มันสามารถดัดแปลงรูปร่างของมันได้ค่อนข้างหลากหลาย
: หน้าจอแบบ Bendable/Flexible display นั้นมีความบางกว่าหน้าจอแบบ AMOLEDอยู่มาก ซึ่งจากข้อมูลที่ทั้ง 2 ค่ายเปิดเผยออกมา
1.หน้าจอแบบ Flexible AMOLED ของ Samsung นั้นจะมีความหนาเพียง 0.12 (หน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว) ถึง 0.3 มม
2.หน้าจอ Flexible AMOLED ของ LG นั้นจะมีความหนาที่ 0.44 มม. (หน้าจอขนาด 6นิ้ว)
3.ภาพฮอโลกราฟี (Holograms)
: กระบวนการสร้างภาพฮอโลแกรม ซึ่งเป็นภาพฮอโลกราฟี เป็นเทคนิคที่ช่วยให้แสงกระจายจากวัตถุที่จะบันทึก และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ต่อมา เพื่อให้ปรากฏเป็นวัตถุอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับการบันทึก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตำแหน่งและทิศทางของการระบบการมองเห็น เปลี่ยนแปลงไปอย่างถูกต้องเหมือนกับถ้าวัตถุก็ยังคงเป็นปัจจุบันจึงทำให้ภาพที่บันทึก (โฮโลแกรม) ปรากฏเป็นสามมิติเทคนิคของฮอโลกราฟียังสามารถใช้ในการเก็บ ดึงและประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวกับแสง ในขณะที่ฮอโลกราฟีเป็นที่นิยมใช้เพื่อใช้แสดงภาพ 3 มิติแบบคงที่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างฉากตามต้องการโดยการแสดงปริมาตรของ holographic ได้ ถ้าจะกล่าวในคำพูดที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้น ก็อาจกล่าวได้ว่า ฮอโลแกรม ก็คือ บันทึกของรูปแบบการแทรกสอดของลำแสง ที่มีหน้าคลื่นสอดคล้องกัน จากคลื่น 2 ลำ
วิธีการทำงานของโฮโลกราฟีและฮอโลแกรม
: โฮโลกราฟีเป็นเทคนิคที่ช่วยให้สนามของแสงซึ่งโดยทั่วไปผลิตผลของแหล่งกำเนิดแสงที่กระเจิงออกจากวัตถุที่จะได้รับการบันทึกและสร้างขึ้นใหม่ในภายหลังเมื่อสนามของแสงที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิมเป็นปัจจุบันนั้นไม่มีอีกต่อไปเนื่องจากขาดหายไปของวัตถุที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิม
หลักการของ Hologram ฮอโลแกรม เป็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากภาพ 2มิติ เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด จอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพ 2มิติ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิดแสง ไปกระทบผิวของภาพถ่าย, ภาพวาด ก็จะสะท้อนกลับมายังที่ตา ทำให้มองเห็นภาพเป็น 2 มิติ แต่ภาพฮอโลแกรมจะใช้หลักการสร้างภาพให้มีการแทรกสอดของแสงที่มากระทบรูปภาพ โดยการฉายแสงเลเซอร์จากแหล่งเดียวกัน แยกเป็น 2 ลำแสง ลำแสงหนึ่งเป็นลำแสงอ้างอิงเล็งตรงไปที่แผ่นฟิล์ม อีกลำแสงหนึ่งเล็งไปที่วัตถุและสะท้อนไปยังฟิล์ม แสงจากทั้งสองแหล่งจะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มในรูปแบบของการแทรกสอด (Interference Pattern) ซึ่งมองไม่คล้ายกับรูปของวัตถุต้นแบบ ก่อให้เกิดภาพเสมือน (Virtual image) ขึ้นมาตามมุมของแสงที่มาตกกระทบ ทำให้ตาของเรารับแสงอีกด้านหนึ่งของแผ่น Hologram เกิดเห็นภาพ 3 มิติขึ้น
การสร้างฮอโลแกรมแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
1. การบันทึกภาพ (recording of image) เป็นการบันทึกแถบการสอดแทรกเชิงซ้อน (Complex interference patterns) ซึ่งเกิดจากที่แต่ละแสงเลเซอร์ 2 ลำแสงซ้อนทับกันอยู่ (Superposition) แถบการสอดแทรกเชิงซ้อนนี้จะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มถ่ายรูป (Photographic film)
: Dolby Vision ทำงานโดยให้ทีวีของคุณสตรีมข้อมูลอ้างอิงมาเก็บไว้เพื่อเตรียมพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทีวีสามารถแสดงผลในแต่ละฉากออกมาได้ดีที่สุด ในบางครั้งการควบคุมดังกล่าวจะปรับปรุงคุณภาพกันอย่างละเอียดลงไปจนถึงระดับเฟรมเป็นผลให้ Dolby Vision ให้ภาพที่ดีกว่า HDR10 ไม่ว่าจะเป็นในฉากกลางวัน ฉากกลางคืน และฉากอื่น ๆ Dolby Vision จะเปิดโอกาสให้ถ่ายทอดความละเอียดของสีสันได้ถึงระดับ 12 บิต เหนือกว่า HDR10 และ HDR10+ ที่ให้ความละเอียดของสีสันได้สูงสุดเพียงแค่ 10 บิต แต่ในขณะนี้ทีวีที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไปยังไม่รองรับสีสันระดับ 12 บิต โดยทาง Dolby ยืนยันว่า Dolby Vision สามารถลดระดับการทำงานลงมาให้อยู่ในระดับ 10 บิต แต่ก็ยังคงให้ความถูกต้องที่ดีกว่าได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น